| งานประดิษฐ์ |
 |
|
ถ้วยเซรามิก
ขึ้นรูปดินแบบแผ่น
( SLAB)
การขึ้นรูปเซรามิกนั้นมีเทคนิควิธีการหลายแบบด้วยกัน
อาทิ การขึ้นรูปด้วยการปั้น
การขึ้นรุปด้วยแม่พิมพ์
และการขึ้นรูปด้วยดินแผ่น (Slap)
ซึ่งวิธีการนี้เป็นการทำเซรามิกแบบง่ายที่ให้ความสะดวกรวดเร็ว
รวมทั้งไม่ต้องอาศัยความชำนาญในการปั้น
อุปกรณ์
1.
ดินปั้นสำเร็จรูป
ในที่นี้เราใช้ดินเอิร์ธเทนแวร์
ซึ่งเป็นดินที่เผาด้วยอุณหภูมิต่ำ
หรือประมาณ 800-1000
องศาเซลเซียส
2.
กระดานกรุผ้าสำหรับใช้ปฏิบัติงาน
ขนาดประมาณ 50 x 50 เซนติเมตร
3.
ไม้นวดแป้ง
4.
ตะไบขนาดเล็ก
5.
มีดสำหรับตัดดิน
เป็นมีดที่ใช้กับงานปั้นเซรามิกโดยเฉพาะ
หรือใช้มีดบางสำหรับปอกผลไม้ก็ได้
6.
ไม้บรรทัด
7.
ไม้อัดหนา 4 หรือ 6 มิลลิเมตร
ตัดเป็นเส้น กว้าง 1 นิ้ว ยาว 50
เซนติเมตร 2 อัน
สำหรับวัดความหนาของ
เนื้อดิน
8.
ท่อพีวีซี
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ
2 - 2 ½ นิ้ว ห่อด้วยกระดาษ
9.
ฟองน้ำและอ่างใส่น้ำ
10.
สีเขียนเซรามิคชนิดใต้เคลือบ
(Under Glaze)
11.
น้ำยาเคลือบสำเร็จรูป (ใช้สำหรับเผาไฟต่ำ)
12.
ลวดสำหรับตัดดิน
การเตรียมดิน
ในการทำเซรามิกโดยทั่วไปนั้น
ผู้ที่ทำเซรามิกจะต้องเตรียมให้พร้อม
โดยการผสมดินเข้ากับส่วนผสมต่าง
ๆ
ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากและใช้เวลานาน
แต่สำหรับปัจจุบันนี้ได้มีการผลิตดินสำเร็จรูปขึ้น
คือผู้ผลิตจะผสมดินกับส่วนผสมต่าง
ๆ
ไว้เรียบร้อยแล้วตามประเภทการใช้งาน
อาทิ ดินเทอร์ราคอตต้า ดินพอร์ซเลน
ดินเอิร์ธเทนแวร์
อย่างเราจะใช้ในที่นี้
เป็นต้น
ดินเหล่านี้มีจุดสุกตัวและสีสันเมื่อเผาแล้วต่างกัน
โดยผู้ผลิตจะทำขายกันเป็นถุง(ประมาณถุงปุ๋ย)
เวลาที่จะใช้งานก็นำดินนั้นออกมานวดเพื่อให้ดินมีความอ่อนนุ่ม
สะดวกในการขึ้นรูป
และไล่ฟองอากาศที่มีอยู่ในดินให้หมดไป
เวลาเผาจะได้ไม่แตก
ปกติมืออาชีพทางด้านเซรามิกนั้นเขาจะนวดดินครั้งละ
2 1/2 - 5 กิโลกรัมต่อครั้ง
โดยจะนวดกันบนโต๊ะ
สูงประมาณ
75 เซนติเมตร
ขนาดหน้าโต๊ะจะใหญ่หรือเล็กก็ได้
แต่ควรมีพื้นที่ให้พอวางดินได้สบาย
และเน้นว่าต้องมีความแข็งแรง
แต่ถ้าไม่แน่ใจว่าแข็งแรงหรือไม่
ก็ให้ตั้งโต๊ะชิดผนังไว้ด้านหนึ่ง
สำหรับวิธีการนวดดินนั้นก็มีขั้นตอนดังนี้
คือ
จังหวะที่
1
ใช้อุ้งมือทั้งสองข้างอุ้มดินไว้
จังหวะที่
2
ให้ใช้อุ้งมือกดดินลงไปกับโต๊ะใช้น้ำหนักตัวช่วยในการกดดินบิดข้อมือเล็กน้อย
เพื่อให้ดิน
แผ่ออกไปและไล่ฟองอากาศ
ทำซ้ำกันหลาย ๆ ครั้ง
แล้วลองตรวจสอบด้วยการใช้ลวดตัดดินออกมา
เพื่อดูเนื้อดินภายในว่ายังมีรูหรือฟองอากาศหรือไม่
หากยังมีก็ต้องนวดต่อไปจนกว่าจะไม่มีฟองอากาศ
จากนั้นก็ทำเป็นก้อนสี่เหลี่ยม
ห่อด้วยพลาสติก
และใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ
คลุมปิดไว้
สำหรับวิธีการตรวจสอบเนื้อดินว่าเหมาะสมกับการขึ้นรูปหรือไม่
ให้ดูว่าดินที่นวดยังติดมืออยู่หรือไม่
ถ้ายังติดมืออยู่ก็แปลว่าเนื้อดินยังไม่ได้ที่
ต้องนวดอีกจนกว่าดินจะไม่ติดมือ
หรือใช้วิธีปั้นดินเป็นเส้นกลมแล้วลองขดดู
หากบริเวณที่ม้วนขดมีรอยแยกหรือแตกก็ยังใช้ไม่ได้
เนื่องจากดินแห้งเกินไป
ต้องมีการเติมน้ำเล็กน้อย
และนวดดินอีกจนกว่าจะขดแล้วไม่มีรอยแยกหรือแตก
วิธีทำ
1.
นำดินที่ผ่านการนวดแล้วมาตัด
โดยกะปริมาณให้พอกับการใช้งาน
หรือขนาดของถ้วยที่จะทำ
ส่วนดินที่
ไม่ใช้ให้ห่อพลาสติกเก็บไว้
หรือห่อด้วยผ้าชุบน้ำหมาด ๆ
2.
ตีดินให้แผ่ออกเป็นแผ่น
โดยใช้วิธีฟาดกับหน้าโต๊ะ
3.
ใช้ไม้นวดแป้งนวดดินเป็นแนวทแยง
เพื่อแผ่ดินให้เป็นแผ่น หนา -
บางตามความหนาของไม้อัดที่วางไว้
ด้านข้าง
และควรตรวจสอบขนาดไม้ก่อนนำมาใช้(อาจวัดด้วยไม้บรรทัด)
สำหรับการทำถ้วยเรากำหนด
ให้มีความหนาประมาณ
3 มิลลิเมตร
4.
ตัดดินให้เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง
-
ยาวตามขนาดของถ้วยที่ต้องการ
ในที่นี้กำหนดให้กว้าง 5 นิ้ว
ส่วนความยาวไม่จำกัด
5.
นำเอาท่อพลาสติกพีวีซีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
2 2 ½ นิ้ว
มาติดกระดาษใช้ทำแม่แบบ
ม้วนดินกับท่อ
พลาสติกให้ส่วนปลายของดินแผ่นซ้วนกันพอสมควร
6.
ตัดส่วนปลายที่ซ้อนกันในแนวเฉียงประมาณ
45 องศา
7.
ลองประกบส่วนปลายเข้าด้วยกัน
จะเห็นว่าปลายที่ตัดแล้วชนกันสนิทพอดี
8.
ใช้ตะไบขูดรอยต่อทั้งสองด้านเพื่อให้ผิวหน้าตัดอุ้มน้ำสลิป
และติดกันแน่นสนิท
9.
ใช้พู่กันจุ่มน้ำดิน (น้ำ Slip -
นำดินมาผสมน้ำให้ข้นประมาณโยเกิร์ต)
ทาบริเวณที่ขูดด้วยตะไบ
เพื่อประสานรอยต่อให้ติดแน่น
10.
ประกบรอยต่อเข้าด้วยกันแล้วตกแต่งให้เรียบร้อยเป็นเนื้อเดียวกัน
11.
ติดตัวถ้วยลงบนดินแผ่นเพื่อทำเป็นก้นถ้วย
โดยขูดขอบถ้วยด้วยตะไบแล้วใช้น้ำดินทาให้ทั่ว
12.
ใช้มีดตัดดินแผ่นที่ติดก้นถ้วย
โดยตัดให้ชิดกับส่วนโค้งของทรงกระบอกให้มากที่สุด
เพื่อถ้วยจะได้
รูปทรงกลมสวยงาม
.
13.
ทำที่จับของถ้วยด้วยการตัดดินแผ่นเป็นเส้นตรงหรือเป็นเส้นหยักก็ได้ตามชอบ
ส่วนความยาวก็ดู
ตามความเหมาะสม
14.
ติดที่จับกับตัวถ้วยด้วยการขูดที่จับในบริเวณที่จะติดกับถ้วย
ทาด้วยน้ำดินแล้วติดที่ตัวถ้วย
ทิ้งไว้ให้
แห้งสนิทสัก
3 วัน นำเข้าเตาเผา
เผาด้วยความร้อน 800
องศาเซลเซียส เป็นเวลา 6-8
ชั่วโมง
15.
เมื่อเผาได้ที่แล้วก็นำมาเขียนลวดลายและระบายสี
โดยใช้สีที่เรียกว่า
สีใต้เคลือบ (Under Glaze)
16.
เคลือบด้วยน้ำยาเคลือบสำเร็จรูป
ทิ้งไว้แห้ง
17.
นำเข้าเตาเผา
เผาด้วยอุณหภูมิ 800
องศาเซลเซียส ประมาณ 6-8
ชั่วโมงอีกครั้ง
จดไว้จำ
โดยไม่เผาครั้งแรกก็ให้ใช้สีซึ้งมีเนื้อสีข้นอยู่แล้วทาได้เลย
แต่ถ้าเผาดิบแล้วมาระบายสี
ให้นำสีมาผสมน้ำก่อน
โดยมากนิยมเผาดิบก่อนแล้วจึงระบายสีเพราะสีจะดูดซึมได้ดีกว่า
ปัจจุบันสีใต้เคลือบได้พัฒนาขึ้น
คือมีจำหน่ายในแบบสำเร็จรูป
ซึ่งใช้ง่ายและไม่เปลี่ยนสีอีกเมื่อเผาแล้ว
หมาด
ๆ
อย่าปล่อยให้ดินแห้งเพราะเมื่อนำขึ้นรูปจะแตก
ใช้การไม่ได้
ประมาณโยเกิร์ต
1,200
-1,300 องศา
ก็ควรใช้น้ำเคลือบที่มีจุดสุกตัวเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน
ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสียหาย
ที่อาจเกิดขึ้น
ก็จะมีเคลือบใสกับเคลือบด้าน
การเลือกใช้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสมของชิ้นงาน
เพราะจะเป็นปัจจัยทำให้สีเกิดการเปลี่ยนแปลงได้
ซื้อได้ที่ไหน
อุปกรณ์การทำเซรามิกทุกชนิดและเตาเผาให้เช่า
ติดต่อที่ บ.โอ เคลย์ เซรามิก
โทร. 693-1343
ดินเซรามิกและเคมีทีทใช้ในงานเซรามิก
บ.เซอร์นิคอินเตอร์เนชั่นแนล
จำกัด โทร 811-950-70
หรือ
บ.คอมพาวด์เคลย์ จำกัด โทร
919-9151-8 , 915-8409-14
วาดสีบนแก้วใส
เทคนิคการสร้างลวดลายบนวัสดุประเภทแก้วหรือกระจกนั้น
มีกรรมวิธีการทำได้หลายวิธี
อาทิ
แกะสลัก
พ่นทราย สเตนด์กลาส
และการใช้สีวาดบนแก้วหรือกระจก
(สเตนด์กลาสเทีนม)
ซึ่งแต่ละวิธีนั้น
ก็ให้ชิ้นงานที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์
อุปกรณ์
-
พู่กันกลมเบอร์
0,2,4,8
-
จานสี
-
สีเขียนกระจกชนิดขวด
เลือกชนิดโปร่งแสงและทึบแสง
(สำหรับผสมสีในกรณีที่ต้องการ)
และ
ชนิดหลอดสีดำ
-
คอตตอนบัดส์และกระดาษทิชชู
-
แบบร่าง
-
ภาชนะหรือบานกระจกใส
-
น้ำมันลินสีด
สำหรับล้างพู่กันและผสมสี
วิธีทำ
1.
คัดเลือกลายตามที่ต้องการ
นำไปถ่ายเอกสารแล้วมาติดกระจก
หรือจะใช้วิธีเพ้นท์สดในกรณีที่มีความชำนาญในการวาด
ตัดเส้นลายทั้งหมดด้วยสีเขียนกระจกสีดำ
โดยวางลายและกระจกบนตู้ไฟ
สำหรับมือใหม่ควรเลือกใช้สีชนิดหลอด
ซึ่งสะดวกในการควบคุมสีให้เป็นเส้นต่อเนื่องและเป็นเส้นนูน
นอกจากนี้ควรเลือกลายกราฟฟิกที่ลงสีง่าย
ๆ
โดยไม่มีเทคนิคลงเงาที่ซับซ้อน
หมายเหตุ
สำหรับผู้ที่เพ้นท์รูปคนควรติดลายให้กลับด้านกัน
คือให้คว่ำด้านถูกลงแล้ววางกระจกทับทั้งนี้เพื่อให้ได้รูปที่ตรงกับแบบ
อย่าลืมติดเทปป้องกันกระดาษเลื่อนไหล
-
ลงสีในแต่ละส่วน
ควรเริ่มลงสีบริเวณพื้นที่กว้าง
ๆ ก่อน
โดยใช้พู่กันจุ่มสีแล้วแต้ม
หรือใช้วิธีการหยดสีให้สีไหลไปบนกระจก
ซึ่งวิธีนี้อาจเปลืองสี
แต่จะทำให้ไม่เห็นรอยพู่กันเกลี่ยสี
-
หยดสีที่
2 และ3
ลงไปเพื่อทำให้เกิดแสงเงาบนภาพ
ปล่อยให้สีไปเองโดยไม่ต้องใช้พู่กันเกลี่ย
เพื่อให้เกิดความรู้สึกนุ่มนวล
-
ลงสีในส่วนที่ต้องการความทึบด้วยการผสมสีขาว
ซึ่งเป็นสีทึบแสงกับสีโปร่งแสง
ให้ได้โทนสีใกล้เคียงกับแบบมากที่สุด
การลงสีควรลงสีที่เป็นเงาหรือไฮไลท์ก่อนแล้วจึงลงสีอื่นต่อไป
-
การลงสีในส่วนที่เป็นผิวของคนให้ใช้สีเหลืองผสมกับสีส้ม
โดยลงสีพื้นก่อนแล้วจึงลงสีที่เป็นแสงเงาหรือไฮไลท์ตาม
หากสีหกเปรอะเลอะเทอะก็ให้ใช้คอตตอนบัดส์จุ่มน้ำมันลินสีดค่อย
ๆ ซับ
ทิ้งให้แห้งแล้วจึงลงสีส่วนต่อไป
-
ลงสีแบ๊คกราวนด์ด้านหลังก็ใช้เทคนิคการระบายสีทั่วไป
เมื่อเสร็จให้ทิ้งไว้สัก 2-3
วันแล้วจึงทำความสะอาด
การทำความสะอาดเราจะใช้น้ำมันลินสีดเช็ดอีกด้านหนึ่งของกระจก
ซึ่งเป็นด้านที่จะใช้โชว์
นำภาพไปใส่กรอบสำหรับแขวนประดับตกแต่ง
ในกรณีที่วาดบนภาชนะก็ใช้วิธีการเดียวกันนี้
แต่การร่างแบบอาจต้องร่างโดยไม่มีต้นแบบ
เพราะภาชนะมักมีเหลี่ยมมุมหรือโค้งเว้าทำให้ติดต้นแบบไม่สะดวก
จดไว้จำ
-
สำหรับมือใหม่ควรเลือกแบบที่ลงสีง่าย
ๆ ไม่ซับซ้อน เช่น
ลายกราฟฟิกต่าง ๆ
ซึ่งจะเป็นช่องให้ระบายสีลงไปโดยไม่ต้องลงแสงเงาให้ยุ่งยาก
สีเขียนกระจกจะมีกลิ่นค่อนข้างแรง
สถานที่ทำงานควรโปร่องโล่ง
หากเป็นไปได้อาจใช้ผ้าปิดจมูกเพื่อป้องกันกลิ่น
สีเขียนกระจกจะมีอยู่
2 ชนิด คือ ชนิดโปร่งแสง
คือให้แสงผ่านได้บางส่วน
กับชนิดทึบแสง
คือไม่ให้แสงผ่าน
เนื้อสีจะคล้าย ๆ สีอะครีลิก
เราสามารถใช้ยาทาเล็บ
ซึ่งมีราคาค่อนข้างถูกกว่ามาใช้เขียนบนกระจกแทนสีเขียนกระจกก็ได้
การซื้อกระจกควรให้ทางร้านตัดกระจกลบคมให้
เพื่อป้องกันกระจกบาดมือหากเผลอหรือไม่ระวัง
ซื้อได้ที่ไหน
สีเขียนกระจก
สามารถหาซื้อได้ในแผนกเครื่องเขียนตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป
น้ำมันลินสีด
หาซื้อได้ตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์งานช่างหรือร้านฮาร์ดแวร์ทั่วไป
กระจก
หาซื้อได้ตามร้านตัดกระจกและกรอบรูป
แกะลายกระจกด้วยกรด
การแกะลายกระจกด้วยกรดเป็นอีกวิธีหนึ่งของการสร้างลวดลายบนกระจกโดยกระจกที่ผ่านการกัดกรดนี้จะมี
ลักษณะคล้ายการแกะสลักไม้
คือลายจะมีความลึก
หรือมีผิวสัมผัส (Texture)
อุปกรณ์
-
กระจก
จะเป็นกระจกใส กระจกเงา
หรือกระจกสีชา ขนาดใดก็ได้
-
สติ๊กเกอร์สี
จะเป็นสีอะไรก็ได้
แต่ไม่ควรใช้สติ๊กเกอร์ใสหรือสติ๊กเกอร์ขาว
เพราะสีจะดูกลมกลืนไปกับกระจก
ทำให้แกะลายยาก
-
ปากกา
ดินสอ ไม้บรรทัด
-
คัทเตอร์
-
ดินน้ำมัน
-
น้ำกรดกัดกระจก
70 เปอร์เซ็นต์ (Hydrofluoic Acid 70 %)
-
กระบะทราย
-
ทินเนอร์
สำหรับใช้เช็ดคราบสติ๊กเกอร์หลังจากกัดกรดแล้ว
วิธีทำ
-
ติดสติ๊กเกอร์บนแผ่นกระจก
-
นำลวดลายที่ซีร็อกซ์ติดลงบนกระจกที่ติดสติ๊กเกอร์เตรียมไว้แล้ว
หรือจะใช้วิธีลอกลายด้วยปากกา
หรือเขียนลายสด
ๆ
ก็ได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชำนาญ
-
แกะลายตามแบบ
โดยใช้คัทเตอร์กรีดลงบนแบบให้ทะลุไปจนถึงสติ๊กเกอร์
-
บริเวณที่ต้องการกัดกรดให้แกะเอาสติ๊กเกอร์ออก
-
กั้นดินน้ำมันให้รอบ
สูงประมาณ 1/2- 1 นิ้ว
-
เทน้ำกรดที่ผสมน้ำแล้วในอัตราส่วน
1:1 ก่อน
โดยเทน้ำกรดให้ท่วมลาย
ทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง (ถ้าต้องการกัดให้กระจกทะลุก็ต้องทิ้งไว้นานกว่านั้น)
-
เทกรดออกจากกระจก
การทิ้งน้ำกรดควรเทลงในกระบะทราย
(เมื่อกรดระเหยหมดแล้วก็สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้)
-
นำกระจกมาล้างน้ำเพื่อเอากรดออก
ควรใช้วิธีเปิดน้ำผ่านให้นานสักหน่อย
-
ลอกสติ๊กเกอร์ออก
ใช้ทินเนอร์เช็ดคราบกาวของสติ๊กเกอร์ออก
ลักษณะของลายที่ได้จะมีลักษณะคล้ายกระจกพ่นทราย
คือส่วนที่ไม่ได้ติดสติ๊กเกอร์จะเป็นสีขาวขุ่น
เมื่อลอกสติ๊กเกอร์ออกแล้วมักจะมีคราบเหนียว
ให้เช็ดออกด้วยทินเนอร์
จดไว้จำ
การใช้กรดมีอันตรายควรระมัดระวังเป็นพิเศษในการใช้งานดังนี้
สวมถุงมือยาง
สวมแว่นตา
และใช้ผ้าปิดจมูกทุกครั้งที่ต้องปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้กรด
การผสมกรดกับน้ำ
ให้ค่อย ๆ
เทกรดลงในน้ำที่ละน้อยเพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของกรดกับน้ำ
รวมทั้งน้ำที่กระเด็นขึ้นมาก็มีอันตรายไม่รุนแรงเท่ากรดเข้มข้น
ทั้งนี้เพราะกรดได้ลงไปเจือจางกับน้ำแล้ว
การใช้คัทเตอร์ควรตรวจดูส่วนล็อคใบให้แน่นหนา
อย่าให้เลื่อนไปมา
เพราะจะไม่สะดวกกับการทำงานและอาจเป็นอันตรายได้
อย่าทิ้งกรดลงในดินหรือทางน้ำสาธารณะ
เพราะจะทำให้เป็นอันตรายกับดินและทางน้ำ
ควรจัดทำที่
สำหรับทิ้งกรด
เช่น กระบะทราย
เพราะเมื่อกระระเหยแล้วยังสามารถนำมาไช้ได้อีก
สถานที่ปฏิบัติงานควรเป็นที่โปร่งโล่ง
มีอากาศถ่ายเทได้ดี
ทั้งนี้เนื่องจากกรดมีกลิ่นฉุนรุนแรง
ไม่ควรที่จะสูดดมนาน ๆ
รวมทั้งไม่ควรให้เด็ก ๆ
เข้ามาอยู่ใกล้ ๆ ขณะทำงาน
ในกรณีที่ต้องการให้ลายดูมีความลึกต่างกัน
ก็ให้กัดกรดหลาย ๆ ครั้ง
โดยแต่ละครั้งควรใช้สติ้กเกอร์ปิดบริเวณที่มีระดับความลึกของลวดลายตามต้องการ
แล้วเปิดเฉพาะตรงที่ต้องการกัดกรดหลาย
ๆ ครั้ง
โดยแต่ละครั้งควรใช้สติ้กเกอร์ปิดบริเวณที่มีระดับความลึกของลวดลายตามต้องการ
แล้วเปิดเฉพาะตรงที่ต้องการกัดกรดใหม่ให้มีความลึกต่างจากของเดิม
ซื้อได้ที่ไหน
กรดกัดกระจก
ซื้อได้ที่บริษัทรวมเคมี (1986)
จำกัด โทร. 224-1847
กระจก
สา
มารถซื้อได้จากร้านกระจกและกรอบรูปทั่วไป
ไม้ดัดรูปสัตว์
ไม้ดัดนั้นก็คือการปลูกต้นไม้ให้ได้รูปทรงตามที่ต้องการ
ด้วยวิธีการทำโครงแล้วใช้วัสดุพวกลวดคอยยึดให้ต้นไม้เลื้อยคลุมไปตามโครงที่ทำไว้
ซึ่งในอดีตนั้นเป็นที่นิยมกันมาก
ถึงขนาดมีไม้กระบวนต่าง ๆ
มากมาย
แต่สำหรับในปัจจุบันได้มีการพัฒนารูปแบบของไม้ดัดให้เหมาะกับยุคสมัยและความนิยมด้วยการดัดรูปสัตว์
สิ่งของและอื่น ๆ อีกมากมาย
-
ลวด
เบอร์ 18 สำหรับทำโครง
และเบอร์ 24 สำหรับยึดโครง
-
ลวดกรงไก่
ตาเล็กหรือใหญ่ก็ได้ขึ้นอยู่กับขนาดที่จะทำ
-
ฟิวส์
เบอร์ 18 หรือ 19
สำหรับใช้ยึดโครงลวดกับต้นไม้
-
คีมตัดลวด
-
กรรไกร
(ใช้ตัดลวดกรงไก่และเล็มต้นไม้)
-
ไม้ไผ่
สำหรับยึดโครงลวด
-
ต้นไม้
ได้แก่ ชาปัตตาเวีย
โดยต้องเพาะไว้ก่อนล่วงหน้า
ให้ต้นสูงสักประมาณ 1
ฟุตเป็นอย่างน้อย
ส่วนจำนวนต้นที่ปลูกก็ให้สัมพันธ์กับแบบ
เช่น
แบบเป็นสัตว์สี่ขาก็ต้องปลูก
4 ต้น
โดยกะระยะห่างให้พอดีกับแบบที่ดัด
วิธีทำ
-
บนร่างแบบกระดาษ
ขนาดควรให้เท่ากับที่จะทำจริง
การวาดควรเขียนเป็นโครงอย่างง่าย
ไม่ต้องมีรายละเอียดมากนัก
และจะต้องกำหนดให้สมดุลเพื่อว่าเมื่อปักลงในดินและต้นไม้เลื้อยคลุมจะได้ตั้งเป็นทรงสวยงาม
-
ใช้ลวดเบอร์
18
ดัดเป็นรูปร่างตามที่เขียนพับปลายลวดเป็นรูปตัวซี
บีบให้แน่น
แล้วจึงใช้ลวดยึดไม่ให้โครงขยับไปมา
ลวดแต่ละเส้นที่ยึดควรให้หันไปทางเดียวกันทั้งหมด
-
นำโครงที่ดัดและยึดเรียบร้อยแล้วนั้นมาประกอบเข้าด้วยกัน
การประกบควรให้ด้านที่พับปลายลวดไว้อยู่ด้านใน
ยึดทั้งสองอันด้วยลวด
โดยกะระยะความหนาของตัวและรูปทรงของสัตว์ที่ดัดด้วยว่าจะ
ต้องมีทรวดทรงองค์เอวสวยงาม
-
ตกแต่งรายละเอียดต่าง
ๆ เช่น ติดตา ขา หรือหาง
ให้เรียบร้อย
-
เอาลวดตาข่ายมาห่อตัวเพื่อเพิ่มการยึดเกาะให้ต้นไม้
-
ปักโครงลวดที่ดัดแล้วลงในกระถางที่ปลูกต้นไม้รอไว้
โดยใช้ไม้ไผ่เป็นตัวช่วยพยุงโครงลวดและต้นไม้
การปลูกต้นไม้ก็ต้องคำนวณจากแบบก่อนว่าจะต้องใช้กี่ต้น
เช่น ถ้าเป็นสัตว์ที่ยืน 2 ขา
ก็ปลูกในกระถาง 2 ต้น
กะระยะให้พอดีกับแบบ
ถ้าเป็นสัตว์ที่ยืน 4 ขา
ก็ต้องใช้ 4 ต้น เป็นต้น
-
ตัดเล็มต้นไม้บางส่วนออก
ให้เหลือไว้เฉพาะส่วนที่อยู่ใกล้โครงลวด
จากนั้นให้ใช้ฟิวส์ยึดต้นไม้ไว้กับโครงลวด
การยึดก็ไม่ต้องให้แน่นมากนัก
เพราะเมื่อต้นไม้เจริญเติบโต
จะได้ดันฟิวส์ออกได้
-
เมื่อเสร็จแล้วก็เพียงแต่รอให้ต้นไม้เลื้อยขึ้นไปคลุมโครงลวด
โดยระหว่างที่รอก็ต้องค่อย
ๆ
เอาฟิวส์ผูกกิ่งก้านที่โตออกมานั้นไว้กับโครงลวด
ควรหาที่วางที่เหมาะสม เช่น
มีอากาศถ่ายเทที่ดี
ได้รับแสงสว่างเพียงพอ
หมั่นรดน้ำ ใส่ปุ๋ย
และตัดแต่งตามรูปทรงของโครงลวด
จดไว้จำ
มือใหม่ควรหัดตัดเป็นรูปทรงที่ไม่ซับซ้อน
อาทิ รูปทรงกราฟฟิกง่าย ๆ
เช่น รูปทรงสี่เหลี่ยม วงกลม
รูปหัวใจ จากนั้นจึงค่อย ๆ
พัฒนาฝีมือดัดเป็นรูปทรงที่ยากและซับซ้อน
ควรสวมถุงมือในขณะปฏิบัติงาน
เพราะเวลาที่จับคีมบีบ
มือกับด้ามคีมจะเสียดสีทำให้บวมพองได้
การดัดลวดเป็นโครงต้องใช้กำลังแขนและมือมาก
ดังนั้นจึงควรออกกำลังแขนและข้อให้แข็งแรงก่อน
รวมทั้งเลือกต้นแบบที่ทำได้ง่าย
ปกติตามร้านจำหน่ายต้นไม้ทั่วไปก็มีไม้ดัดขาย
แต่จะเป็นรูปทรงแบบดั้งเดิม
หากต้องการรูปทรงที่แปลกตากว่าทั่วไปก็ต้องออกแรงดัดเอง
ลวดที่ใช้ทำโครงนั้นให้ดูตามขนาดของสิ่งที่จะดัด
หากต้องการขนาดใหญ่ก็ควรใช้ลวดเส้นใหญ่
ถ้าขนาดเล็กก็ควรใช้ลวดขนาดเล็กลง
แต่ไม่ควรเล็กกว่าที่กำหนดไว้ข้างต้น
เพราะถ้าลวดเล็กไป
เมื่อต้นไม้เลื้อยคลุมจะรับน้ำหนักไม่ได้
ทำให้เสียรูปทรง
รวมทั้งลวดจะผุก่อนที่ต้นไม้จะขึ้นเต็ม
สามารถประยุกต์ด้วยการนำไม้เลื้อยมาใช้ได้
แต่ในเชิงวิชาการเขาจะไม่เรียกไม้ดัด
ต้นไม้ที่เหมาะกับการทำไม้ดัด
นอกจากชาปัตตาเวียแล้ว ก็มีชาฮกเก้ยนและไทรอังกฤษ
ซึ่งเป็นไม้โตเร็วและให้ความอ่อนช้อยสวยงาม
เหมาะกับการทำไม้ดัด
โดยไทรอังกฤษนั้นเหมาะกับไม้ดัดขนาดใหญ่
สำหรับข่อยนั้นก็เป็นไม้ที่นิยมใช้ทำไม้ดัดในอดีต
ซึ่งก็สามารถนำมาใช้ได้
แต่ถ้าดัดเป็นรูปสัตว์จะให้ความรู้สึกที่ไม่อ่อน
ช้อยเท่าที่ควร
ซื้อได้ที่ไหน
ต้นไม้สำหรับดัด
ซื้อได้ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร
ภาคภูมิเนอร์เซอรี่ โทร. 9039283
ลวดและฟิวส์
ซื่อได้ที่ร้านอุปกรณ์ช่าง
หรือร้าน ฮาร์ดแวร์ทั่วไป
การย้อมผ้าและสร้างลวดลายบนผ้า
เทคนิคการย้อมผ้าและสร้างลวดลายบนผ้าแบบญี่ปุ่นนี้ประยุกต์มาจากจีน
โดยใช้วัตถุดิบธรรมชาติ
อันได้แก่แป้งข้าวเหนียวและรำข้าวเป็นตัวกันสี
ปาดบนแบบกระดาษสาเคลือบวานิชที่ตัดเป็นลวดลายบนผ้าแล้วจำนำไประบายสี
ผ้าที่ใช้ในการทำ Katazome
นี้มักนำไปทำกิโมโน
ดังนั้นผ้าจึงมักมีหน้ากว้างประมาณ
60 ซ.ม. เท่านั้น
อุปกรณ์
-
กระดาษลอกลาย
-
กระดาษปอนด์
80 แกรม
-
เครื่องเขียน
อาทิ ดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัด
มีด (คัทเตอร์) แผ่นรองต
-
กระดานไม้
หรือโต๊ะไม้
หน้ากว้างประมาณ 60 ซ.ม.
-
ไม้ประกับขึงผ้าและไม้ไผ่ที่มีปลายสองด้านเป็นเข็มแหลมสำหรับชึดึงผ้าให้ตึงเวลาตาก
-
ตัวกันสีและกาวทากระดาน
ประกอบด้วยแป้งข้าวเหนียว
รำข้าว เกลือ
และวัตถุกันเสีย :แคลเซียมไฮดรอกไซด์
-
ไม้ปาดซิลค์สกรีน
หรือไม้โปรแทรกเตอร์
-
พู่กันญี่ปุ่นเบอร์
2, 4, 5,12 หรือใช้พู่กันจีนทน
-
แปรงทาสีสำหรับทาวานิชดำ
-
วานิชดำ
-
ผ้าตาข่ายไนลอนชนิดบาง
-
ผ้าสำหรับย้อม
ควรเป็นผ้าที่มีเส้นใยธรรมชาติ
อาทิ ฝ้าย ไหม ใยกัญชา มัสลิน
เป็นต้น
-
ทินเนอร์สำหรับผสมวานิช
-
สีย้อมผ้า
ใช้เฉพาะแม่สี อาทิ แดง ( 5 ดี )
น้ำเงิน ( 4 จีดี ) เหลือง ( 3 อาร์
)เป็นต้น
-
โซเดียมซิลิเกต
สำหรับทาให้สีติดแน่นกับผ้า
-
น้ำถั่งเหลือง
หรือนมสด
สำหรับป้องกันการซึมของสี
-
อุปกรณ์หุงต้ม
อาทิ เตา
หม้อที่มีรังสำหรับนึ่ง
การเตรียมตัวกันสี
ตัวกันสีนั้นเปรียบได้กับกาวที่ใช้ทำแบบซิลค์สกรีนนั่นเอง
แต่กาวของซิลค์สกรีนเป็นเคมี
แต่อันนี้ป็นวัสดุจากธรรมชาติ
ส่วนผสม
แป้งข้าวเหนียว
4 ส่วน
รำข้าว
6 ส่วน
เกลือ
3-5 เปอร์เซ็นต์
แคลเซียมไฮดรอกไซด์
วิธีทำ
-
นำรำข้าวมาร่อนแล้วผสมกับแป้งข้าวเหนียวและเกลือ
(
เกลือเป็นตัวดูดความชื้นในอากาศ
การใส่ควรกะให้พอดีกับส่วนผสม
)
-
คลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากันในขณะที่ยังแห้งแล้วจึงค่อย
ๆ เติมน้ำลงไปนวดกับแป้ง
ระวังอย่าให้เหลวเกินไป
เพราะจะปั้นเป็นก้อนไม่ได้
-
เมื่อนวดส่วนผสมได้ที่(
ไม่ติดมือ )
ให้ปั้นเป็นลูกกลมแล้วทำให้แบน
เจาะรูตรงกลาง (ลักษณะเหมือนโดนัท)
วางลงในผ้าขาวบาง ชุบน้ำ
ใส่ไว้ในหม้อนึ่ง
-
นึ่งแป้งที่ปั่นนานประมาณ
45 นาที
-
เมื่อนึ่งได้ที่แล้วให้นำออกมาใส่ชาม
ค่อย ๆ
ใส่น้ำร้อนลงไปทีละน้อย
กวนให้ละลาย
-
กวนส่วนผสมจนเหนียว
(เมื่อยกช้อนกวนแล้วแป้งจะยืดยาวขึ้นมา)
เติมแคลเซียมไฮดรอกไซด์ที่ละลายน้ำแล้ว
(เอาแต่น้ำด้านบนไม่เอาตะกอน)
เติมลงไปทีละน้อย
กวนให้เข้ากัน
ระหว่างที่กวนก็ค่อย ๆ
เติมสารละลายลงไปเรื่อย ๆ
จนกระทั่งส่วนผสมเปลี่ยนเป็นสีเหลืองก็เป็นอันว่าใช้ได้
หมายเหตุ
ตัวกันสีนี้สามารถเก็บไว้ใช้ได้
2-3 สัปดาห์ โดยใส่กล่อง
ใส่น้ำไว้บนตัวกันสีเล็กน้อยปิดฝา
แช่ไว้ในตู้เย็น
เวลานำมาใช้ก็เทน้ำออก
ทิ้งไว้ให้หายเย็น
ถ้าข้นมากก็เติมน้ำแล้วกวนให้เข้ากัน
การเตรียมกาวทากระดาน
วิธีการทำเหมือนกับการทำแป้งเปียก
แต่ใช้แป้งข้าวเหนียวผสมกับน้ำ
ตั้งไฟกวนให้เหนียว (ควรให้เหลวสักหน่อย)
เพื่อสะดวกในการทา
เวลาทาให้ใช้ไม้ปาดกาวไปบนแผ่นไม้ให้เรียบ
ทิ้งไว้ให้แห้ง
ถ้าเป็นไม้ใหม่ให้ทาซ้ำ 4-5
ครั้งก่อน
โดยแต่ละครั้งควรทิ้งไว้ให้แห้ง
วิธีทำ
-
สร้างแบบลวดลายตามต้องการบนกระดาษลอกลาย
-
นำกระดาษปอนด์
80 แกรมทาด้วยพาราฟิน (ขี้ผึ้ง)
อย่าให้หนามากนัก
แล้วจึงติดกระดาษลอกลายลงไป
หมายเหตุ
ควรเว้นลายให้ห่างจากขอบกระดาษอย่างน้อยด้านละ
2 นิ้ว
-
ใช้คัทเตอร์ตัดกระดาษตามลวดลายที่สร้างขึ้นโดยตัดให้ทะลุกระดาษปอนด์ลงไป
-
เมื่อตัดเสร็จแล้วให้ลอกกระดาษลอกลายออกให้หมด
หากมีคราบพาราฟินเกาะมาก (ในกรณีที่ทาหนา)
ให้ขูดพาราฟินด้วยคัทเตอร์
-
นำแบบที่สมบูรณ์แล้วมาทาด้วยวานิชดำ
(วานิชควรผสมทินเนอร์ให้เจือจางจะได้ทาง่าย)
ควรทาหลาย ๆ
ครั้งจะได้ทนน้ำ
ตากให้แห้ง
-
นำมาติดผ้าตาข่ายไนลอนบางเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับแบบ
การติดตาข่ายให้ฉีดน้ำให้ชุ่มเพื่อให้ผ้าแนบกับแบบ
แต่อย่าดึงให้เส้นใยผ้าย้วยไปมาลงวานิชซ้ำอีกครั้ง
ตากให้แห้งสนิทแล้วจึงนำมาใช้ก่อนใช้ให้ตัดเส้นเชื่อมแบบออกทิ้ง
โดยใช้มีดกรีดออกแต่เบามือ
-
นำผ้าที่เตรียมไว้วางลงไป
รีดให้ติดกับกระดานไม้
โดยก่อนหน้าที่จะติดลงไปให้ทากาวแป้งข้าวเหนียวบนกระดานหลาย
ๆ ครั้ง ทิ้งไว้ให้แห้ง
เวลาใช้ให้เอาฟองน้ำชุบน้ำหมาด
ๆ ทาบนกระดาน ( กาวควรทาหลาย
ๆ ครั้งถ้าเป็นไม้ใหม่)
-
นำแบบทาบบนผ้า
แล้วปาดด้วยตัวกันสี(วิธีการเตรียมตัวกันสีดูที่ล้อมกรอบ)
การปาดให้เริ่มจากครงกลางก่อนแล้วจึงปาดไปทางด้านซ้าย
ระวังอย่าให้แบบเลื่อนไปมา
รวมทั้งตัวกันสีอย่าให้มากเกินไปเพราะจะทำให้ไหลไปใต้แบบ
เมื่อเสร็จแล้วให้ดึงแบบออก
ครวจดูว่ามีบริเวณใดที่กาวล้นออกมาเลอะเทอะให้เอาผ้าบาวบางพันปลายมีดชุบน้ำหมาดๆค่อยๆ
เช็ดออก
-
ดึงผ้าออกจากกระดานโดยใช้ประกับไม้
และใช้ซี่ไม้ไผ่ปลายเข็มแทงที่ปลายผ้าทั้งสองด้านให้ผ้าตึงตากแดดให้แห้งสนิท
หรือใช้วิธีตากบนราว
ใช้สำหรับผ้าที่มีลวดลายใหญ่ๆ
และลายไม่มากเต็มผืน
โดยผูกราวให้ขนานกัน
แล้วขึงผ้าให้ตึงใช้ไม้หนีบหนีบไว้
(การดึงผ้าให้ตึงนั้นก็เพราะว่าผ้าจะยืดตัวเมื่อถูกความชื้นของตัวกันสี
และหดกลับเหมือนเดิมเมื่อแห้ง
ถ้าเราไม่ขึงให้ตึงผ้าบริเวณที่ปาดตัวกันสีไว้ก็จะย่นยู่)
-
นำน้ำถั่งเหลือง(การเตรียมดูที่ล้อมกรอบ)
หรือใช้น้ำนมสดผสมน้ำให้เจือจางทาบนผ้าที่แห้งสนิทแล้ว
เพื่อป้องกันไม่ให้สีไหลซึมตัวกันสี
ควรทาซ้ำ 2-3 หน
โดยแต่ละครั้งต้องทิ้งไว้ให้แห้งสนิทเสียก่อน
และควรทาขณะอยู่กลางแดด
-
เมื่อผ้าแห้งสนิทให้นำมาลงสี
ควรทำกลางแดด การลงสีก็มี 2
แบบ คือ เพ้นท์ (PAINT)
ซึ่งเหมือนกับการวาดรูป
คือลงลวดลายไปทีละส่วนและการย้อม
คือใช้แปลงขนาดใหญ่ปาดสีลงบนผ้าโดยการปาดสีต้องระวังอย่าให้สีชุ่มมากไป
เพราะอาจทำให้สีซึมเข้าไปที่ตัวกันสี
และควรทาอย่างน้อย 2-3 ครั้ง
หรือดูให้สีสม่ำเสมอกัน
การเลือกวิธีลงสีนั้นขึ้นอยู่กับลวดลายและความต้องการของผู้ทำ
เทคนิคง่ายๆ คือ
ลวดลายที่ดูซ้ำๆ
กันก็ควรใช้วิธีลงสีด้วยการย้อม
ส่วนลวดลายที่มีเนื้อหาเป็นเรื่องราวควรเลือกลงสีแบบเพ้นท์จะเหมาะกว่า
-
ตากผ้าให้สีแห้งสนิทแล้วนำมาทาด้วยโซเดียมซิลิเกต
ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้สีติดแน่นกับผ้า
การทาควรทาให้ทั่ว
แต่อย่าให้ชุ่ม ทิ้งไว้ 30
นาที ถึง 1 ชั่วโมง(โซเดียมซิลิเกตควรผสมน้ำในอัตราส่วน
1:1)
-
นำผ้ามาแช่น้ำสะอาด
10 นาที
เพื่อล้างโซเดียมซิลิเกตออก
แล้วจึงซักเอาตัวกันสีออก
จากนั้นให้ต้มในน้ำผสมผงซักฟอกประมาณ
10-30 นาที
เพื่อให้กาวหลุดออกจากผ้าและทำให้ลวดลายดูเด่นชัดขึ้น
*สีที่ใช้เป็นสีย้อมเย็น
สี 10 กรัม ผสมน้ำ 1 ลิตร
สามารถย้อมผ้า 5 เมตรได้ 2
ครั้ง
*การใช้พู่กันเพ้นท์ควรตัดขนพู่กันให้สั้น
เพราะผ้าที่ตากจนแห้งจะแข็ง
ต้องใช้พุ่กันถูบนผ้าเพื่อให้สีซึมลงไป
*ตัวกันสีหากเหลวเกินไปจะทำให้ไหลซึมไปในส่วนอื่นๆ
ดังนั้นจึงควรเตรียมให้มีความข้นพอดี
วิธีดุตัวกันสีว่าข้นหรือเหลวเกินไปหรือไม่
ให้ลองใช้ช้อนตักตัวกันสีแล้วยกขึ้น
ถ้าตัวกันสีติดช้อนขึ้นมาเป้นเส้นยาวก็เป้นอันว่าใช้ได้
*ไม่ควรออกแบบลวดลายเป้นเส้นขนาดเล้ก
หรือมีลวดลายละเอียด
เนื่องจากจะแกะแบบค่อนข้างยากและทำให้ตัวกันสีไม่สามารถผ่านลงไปเกาะเนื้อผ้าได้เต้มที่
ซื้อได้ที่ไหน
แป้งข้าวเหนียว
ถั่วเหลือง เกลือ
หาซื้อได้ในตลาด หรือ
ร้านขายของชำ
สีและเคมีสำหรับย้อมผ้า
ซื้อได้ที่ บ. เวิล์ดเคม จก.
โทรฯ 251-6267 , 252-4505
หรือที่แผนกเครื่องเขียนในห้างสรรพสินค้าทั่วไป
วานิชดำ
หาซื้อได้ที่ร้านจำหน่ายฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์ช่างทั่วไป
บาติกเพ้นท์ติ้ง
(
BATIK PAINTING)
บาติกเป็นการสร้างลวดลายบนผ้าด้วยการใช้
ขี้ผึ้งหรือเทียน เป้นตัวกันสีที่กำเนิดขึ้นในโลกเป็นเวลาช้านาน
ซึ่งแต่เดิมนั้นการทำบาติกมีเทคนิควิธีค่อนข้างซับซ้อน
คือทำบล็อคเป็นโลหะ
จุ่มน้ำเทียนแล้วปั้มลงบนผ้าย้อมสี
จากนั้นก็เอาเทียนออก
ใช้เทียนปิดสีที่ย้อมในครั้งแรก
และย้อมสีอีกครั้งหนึ่ง
ทำซ้ำกันอย่างนี้หลายๆครั้งจนได้สีที่ต้องการ
เป้นวิธีที่ละเอียดอ่อนมาก
แต่ปัจจุบันนี้ได้พัฒนาวิธีการให้ง่ายขึ้นด้วยการใช้เทียนกันขอบแล้วเพ้นท์สีลงไป
อุปกรณ์
-
ขี้ผึ้งและพาราฟีน
สำหรับเขียนลายผ้า
-
หม้อต้มเทียน
(แนะนำควรใช้หม้อสนาม
เนื่องจากทนความร้อนได้ดี
ขนาดกระทัดรัด
และมีฝาปิดมิดชิด
เวลาไม่ใช้จะได้ป้องกันฝุ่นลงไป
-
อุปกรณ์สำหรับเขียนเทียน
(จันติ้ง)
แบบกระเปาะหรือแบบตุ้มก็ๆได้
แต่แบบตุ้มจะให้เส้นค่อนข้างใหญ่
เหมาะกับการเขียนพื้นที่ใหญ่ๆ
-
ผ้า
ควรเป็นเส้นใยธรรมชาติ
เนื้อหนาบางพอประมาณ
ผิวเรียบ
เนื้อไม่ห่างหรือหยาบเกินไป
เช่น ฝ้าย ไหม มัสลิน ใยกญชา
เรยอนผสมฝ้าย วิสโคส
ลินิน เป็นต้น
-
สีย้อมเย็น
[Reaction Color]
หรือสีที่ย้อมได้ในอุณหภูมิห้อง
-
โซเดียมซิลิเกต
หรือฟิกซ์
สำหรับเคลือบผ้ากันสีตก
-
แปรฃและพู่กันระบายสี
-
เตาต้มเทียน
ควรเป็นเตาแก๊ส
แต่ถ้าเป็นเตาไฟฟ้าควรเป็นชนิดที่ปรับระดับอุณหภูมิได้
การเตรียมผ้าและน้ำย้อม
-
นำผ้าที่ต้องการทำบาติก
ไปต้มกับน้ำสบู่หรือผงซักฟอกเพื่อให้แป้งหรือไขมันที่จับผ้าออกให้หมด
ตากให้แห้งสนิท
-
นำขี้ผึ้ง
1 ส่วน กับพาราฟีน 2 ส่วน
ต้มรวมกันในหม้อให้เหลวเป็นน้ำเทียน
ควบคุมอุณหภูมิน้ำเทียนไส่ให้ร้อนจัดเกินไป(ร้อนจัดจะมีควัน)เพราะเมื่อนำมาเขียนลายเทียนจะไหลซึมไปตามเนื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
ทำให้ได้เส้นไม่สวย
หมายเหตุ
พาราฟีนติดไฟง่าย
ควรอยู่ให้ห่างไฟ
และควรใส่ขี้ผึ้งก่อนแล้วตามต้วยพาราฟีน
ถ้าต้องการให้ลายมีรอยแตกๆให้ผสมพาราฟีนให้มากขึ้น
วิธีทำ
-
ออกแบบลวดลายบนกระดาษก่อนแล้วจึงลอกลายลวบนผ้า
หรือจะเขียนลายบนผ้าเลยก็ได้
ดินสอที่ใช้เขียนควรเป็นดินสอใส้อ่อน
เช่น 28
หรือใช้สีไม้ก็ได้
และควรเหลาอย่าให้แหลม
2.
ขึงผ้าบนกรอบไม้ให้ตึง
ด้วยการใช้แปรงชุบน้ำเทียนทาบนผ้าและกรอบ
ควรทำทีละด้าน
3.
ลงเทียนบนเส้นลวดลายที่วาด
ก่อนลงควรทดลองกับเศษผ้าก่อนว่าน้ำเทียนร้อนพอดีหรือยัง
โดยดูว่าเทียนซึมลงไปถึงผ้าด้านหลังหรือไม่
ถ้าหากเทียนเกาะอยู่บนผิวผ้าเฉพาะด้านบน
แปลว่า
เทียนยังร้อนไม่ได้ที่
ข้อควรระวัง
เส้นลวยลายที่บรรจบกันควรปิดเทียนให้ดี
เวลาลงสีจะได้ไม่ไหลซึมเข้าหากัน
-
ลงสีบนลวดลายต่างๆตามต้องการ
เริ่มแรกให้ระบายด้วยน้ำธรรมดาก่อน
จากนั้นจึงแต้มสีลงไป
ในกรณีให้สีดูไล่เฉดสีกัน
ก็ให้ใช้พู่กันขยี้สีจากเข้มไปหาอ่อน
ระวังไม่ให้ส่วนต่อของสีเข้มและอ่อน
เป็นด่างดวง
การลงสีควรลงให้เข้มสักหน่อย
เพื่อป้องกันสีตกในภายหลัง
การทำสีให้เข้มนั้นก็สามารถลงซ้ำได้หลายครั้ง
แต่ควรซ้ำขณะสีหมาด
เพราะถ้ารอแห้งสีอาจต่างกันได้
เมื่อลงสีเรียบร้อยแล้วให้ตากสีไว้ให้แห้งสนิท2.
2.
ใช้แปรงจุ่มโซเดียมซิลิเกต(ไม่ต้องผสมน้ำ)ทาให้ทั่วสัก
1-2 ครั้ง
แต่ละครั้งควรรอให้แห้งก่อนจึงทาซ้ำ
ทิ้งไว้ในที่ร่มประมาณ
4-12 ชั่งโมง
หมายเหตุ
โซเดียมซิลิเกตอาจทำให้สีดูคล้ำลงไม่ต้องตกใจ
เมื่อล้างน้ำแล้วสีจะเหมือนเดิมทุกประการ
-
ล้างโซเดียมซิลิเกตออกจากผ้าให้หมด
โดยผสมผงซักฟอกเล็กน้อยลงในน้ำ
แช่ทิ้งไว้สักพักหนึ่งแล้วจึงนำผ้าไปต้มลงในน้ำเดือดที่ผสมผงซักฟอกหรือสบู่เหลวเพื่อเอาเทียนออกจากผ้า
จดไว้จำ
-
ลวดลายสำหรับบาติกนั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบสำหรับมิอใหม่ควรเขียนเป็นลวดลายง่ายๆไม่ต้องมีเส้นราบละเอียดมากนัก
ซึ่งจะทำให้เขียนเทียนได้ง่าย
-
จันติ้งที่ใช้
สำหรับมือใหม่ควรใช้ชนิดเป็นตุ้ม
เพราะจะเขียนได้ง่ายกว่าแบบกระเปาะซึ่งน้ำเทียนจะไหลอยู่ตลอด
-
น้ำเทียนที่ร้อนมากเกินไป
เมื่อนำมาเขียนบนผ้า
น้ำเทียนจะไหลซึมบนผ้าอย่างรวดเร็ว
ทำให้ได้เส้นไม่สวย
ส่วนน้ำเทียนที่ร้อนน้อยเกินไป
น้ำเทียนจะไม่เกาะติดผ้า
ดังนั้นการเขียนต้องทดลองเขียนบนเศษผ้าก่อน
-
ดินสอที่เขียนลวดลายอย่าเหลาให้แหลม
ปลายแหลมจะเกี่ยวผ้าเอาไว้
ทำให้เขียนได้ไม่สะดวก
ซื้อได้ที่ไหน
เทียน
พาราฟิน ซื้อได้ที่ห้าง
ลิ้มเกี้ยงง้วน โทรฯ 223-1602.
222-8786 หรือที่ห้าง ฮงเซ่งเชียงเม้งเฮง
โทรฯ 211-3511
จันติ้ง
ซื้อได้ที่ร้านสมใจ (ตรงข้ามโรงเรียนเพาะช่าง)
สีและเคมีสำหรับย้อมผ้า
ซื้อได้ที่บ. เวิล์ดเคม จก.
โทรฯ 251-6267. 252-4505
หรือที่แผนกเครื่องเขียนในห้างสรรพสินค้าทั่วไป
(ยี่ห้อ Dylon)
มัดย้อม
การมัดย้อมเป็นวิธีการสร้างลวดลายบนผ้าอีกวิธีหนึ่งที่ทำกันมาช้านาน
วิธีการมัดก็มีหลากหลายไปตามจินตนาการของผู้ทำ
โดยมากก็เอาวัตถุทรงต่างๆ
มาห่อกับผ้า
แล้วมัดด้วยเชอกหรือด้าย
มีเคล็ดลับสำคัญอยู่ที่การมัดให้แน่นเพื่อจะได้เกิดเป็นลวดลายที่ชัดเจน
อุปกรณ์
1.
ผ้าที่ทอด้วยเส้นใยธรรมชาติ
อาทิ มัสลิน ฝ้าย ไหม เรยอน
เป็นต้น
-
สีย้อมเย็น
หรือสีย้อมร้อน
-
เชือกพลาสติก
-
ด้ายเอ็นและเข็ม
-
ก้อนหิน
หรือวัตถุรูปทรงต่างๆ
-
โซเดียมซิลิเกต
วิธีทำ
1.
นำผ้าที่ใช้มาต้มกับผงซักฟอก
เพื่อเอาแป้งและสิ่งสกปรกออกให้หมด
ตากให้แห้ง
-
ตัดผ้าตามขนาดที่ต้องการ
อาจตัดเป็นเสื้อหรือกางเกง
หรือผ้าม่านก่อนก็ได้
แต่ในที่นี้เราทำเป็นผ้าเช็ดหน้าขนาด
50X50 เซนติเมตร
-
นำผ้ามามัดด้วยเชือก
การมัดควรมัดให้แน่นที่สุด
-
นำผ้าที่มัดแล้วลงย้อมในสี
สีก็สามารถใช้ได้ทั้งสีย้อมเย็นและสีย้อมร้อน
การผสมสีอย่าใส่น้ำมากเพราะสีจะจืดจาง
ผสีควรให้เข้มไว้ก่อน
เพราะผ้าจะดูดสีได้ระดับหนึ่งเท่านั้น
สีจะไม่เข้มเท่าที่ผสม)
เมื่อนำผ้าขึ้นควรบิดให้น้ำสีออกจนผ้าหมาด
การย้อมสีที่
2 หรือที่ 3
ให้จุ่มส่วนที่ต้องการสีใหม่หรือใช้พู่กันจุ่มสีให้ชุ่มแล้วแต้มบริเวณที่ต้องการก็ได้(ทำต่อเนื่องกันไปเลย
ไส่ต้องรอให้สีที่ย้อมแห้งก่อน)
5.
แกะเชือกที่มัดออก
แล้วนำออกตากให้แห้ง (ควรวางไว้บนกระดาษที่สะอาด
เพื่อว่าสีจ
ะได้ไม่ไหลเลอะเทอะ)
ผ้าที่แห้งแล้วนำมาหมักด้วยโซเดียมซิลิเกต
หรือจะใช้แปรงจุ่มโซเดียมซิลิเกตทาให้ทั่ว
ทิ้งไว้ 30 นาที
หรือนานกว่านั้นก็ได้
จากนั้นซักให้สะอาด
ตากให้แห้งนำไปเย็บริมผ้าให้เรียบร้อย
ซื้อได้ที่ๆไหน
สีและเคมีสำหรับย้อมผ้า
ซื้อได้ที่ บ. เวิล์ดเคม จก.
โทรฯ 251-6267
.
252-4505
หรือที่แผนกเครื่องเขียนในห้างสรรพสินค้าทั่วไป
(ยี่ห่อ Dylon)
สมุดบันทึก
มนุษย์เรารู้จักผลิตกระดาษขึ้นมาใช้เป็นเวลาช้านาน
รวมทั้งมีการพัฒนาเทคนิควิธีการเข้าเล่มสมุดหรือหนังสือ
(Book Binding)
เพื่อให้สะดวกในการใช้งาน
เก็บรักษา
และเพื่อความสวยงาม
แม้ในปัจจุบันเราจะมีสมุด
หนังสือ
หลากหลายไว้ใช้งานโดยไม่ต้องลงมือทำเอง
แต่การลงมือทำเองทำให้เรามีของสวยงามถูกใจไว้ใช้
รวมทั้งสามารถนำความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้ซ่อมแซมหนังสือหรือสมุดที่ชำรุดได้อีกด้วย
สำหรับในที่นี้
เราขอนำวิธีการเข้าเล่ม 2
วิธี คือ แบบ COPTIC BINDING
ซึ่งคิดค้นโดยชาวอียิปต์
และ GERMAN SHAPED SPINE CASE BINDING
ซึ่งเป็นการเข้าเล่มสมุดหนังสืออย่างที่เห็นทั่วไป
อุปกรณ์
1.
กระดาษสำหรับทำเนื้อใน
ในที่นี้เราเลือกใช้กระดาษพิมพ์ดีดขนาด
เอ 4
ส่วนความหนาบางเลือกตามใจชอบ
หรือจะใช้กระดาษสาทำเนื้อในก็ได้
-
ด้าย
-เข้าเล่มแบบ
COPTIC BINDING ใช้ DMC เบอร์ 10
สีควรเลือกให้เหมาะกับกระดาษทำปก
-เข้าเล่มแบบ
GERMAN SHAPED SPINE CASE BINDING ใช้ DMC No.40
สีขาวหรือครีม
-
เข็มชนิดตรงและเข็มแบบโค้ง
(ใช้กับการเข้าเล่มแบบ COPTIC
BINDING )
-
กระดาษแข็ง
(กระดาษชั้นสีน้ำตาล)
ความหนาประมาณ 3-4 มิลิเมตร
-
กาวลาเท็กซ์
-
สีอะครีลิก
สีตามชอบ แปรงทาสี
และพู่กัน
-
แป้งเปียก
(แป้งมันสำปะหลัง 1
ส่วยผสมด้วยแป้งข้าวเจ้า
1 ส่วน
ละลายน้ำตั้งไฟอ่อนๆ
เคี่ยวอย่าให้ข้นหรือเหลวเกินไป)
ใช้ผสมกับสีอะครีลิกและใช้ติดผ้ากับกระดาษสาทำปก
-
กระดาาสา
ใช้ชนิดเนื้อบางเรียบ
หรือกระดาษสาญี่ปุ่นสำหรับติดผ้าหุ้มปก
และกระดาษสาเนื้อหนาทั่วไปสำหรับหุ้มปก
-
คัทเตอร์
(ควรใช้ชนิดอันใหญ่
ซึ่งจะสะดวกในการตัดกระดาษแข็ง)
และกรรไกร
-
BONE
FOID วัสดุแท่งผิวเรียบ
ใช้รีดกระดาษให้เรียบ
ในบ้านเราไม่มีขาย
แต่สามารถใช้เครื่องมือที่ใช้ในงานปั้น
หรือใช้กระดาษแข็งชนิดหนา
ตัดให้ให้มีขนาดเหมาะมือก็ได้
การเตรียมกระดาษเนื้อใน
-
ตรวจดูทิศทางของเส้นใยกระดาษ
GRAIN DIRECTION
ด้วยการลองม้วนกระดาษดู
เพื่อให้กระดาษและวัสดุทุกชนิดในสมุดมีทิศทางเดียวกับสันสมุด
-
ตัดกระดาษให้มีขนาดเท่ากัน
จำนวนตามต้องการ
ในที่นี้เราใช้กระดาษชนิด
เอ 4
ซึ่งเท่ากันทุกแผ่นอยู่แล้ว
-
พับครึ่งกระดาษครั้งละ
4 แผ่น ( 1 ชุด ) พับทั้งหมด 6
ชุด วางซ้อนกัน
สลับสันและริม
ประกบด้วยแผ่นไม้
แล้วใช้ของหนักๆ
ทับไว้ประมาณ 1 วัน
การเตรียมวัสดุหุ้มปก
วิธีที่
1 ใช้กระดาษหุ้ม
ปกติเราสามารถใช้กระดาษที่มีลวดลายสวยงามหรือกระดาษสามาใช้หุ้มปกได้ทันที
แต่ถ้าต้องการสีสันหรือลวดลายพิเศษกว่าทั่วไป
ก็ให้นำกระดาษขาวเนื้อเดียวกับกระดาษเนื้อใน
แต่เป็นขนาด เอ 3 มาทาสีอะครีลิกเป็นลวดลายตามใจชอบ
ควรผสมสีอะครีลิกกับแป้งเปียก
จะได้ไม่เปลืองสีมากนัก
วิธีที่
2 ใช้ผ้าหุ้ม
ในความเป็นจริงเนื้อผ้ามีความยืดหยุ่นสูง
โดยเฉพาะเมื่อเปียกกาว
รวมทั้งความแตกต่างของผ้ากับกระดาษแข็ง
จึงทำให้ไม่สามารถติดเป็นเนื้อเดียวกันได้
ดังนั้นจึงมีการนำผ้ามาติดกับกระดาษสาซึ่งเนื้อบางกว่าและมีเส้นใยที่ช่วยยึดเกาะผ้าได้ดีกว่ากระดาษแข็งผิวเรียบ
วิธีการทำให้ตัดกระดาษสาญี่ปุ่นขนาดใหญ่กว่าผ้าด้านละ
1 นิ้ว (หาซื้อได้ตามร้านเครื่องเขียนใหญ่ๆ
แต่ราคาจะแพงและแผ่นเล็กกว่ากระดาษสาทั่วไป)จากำนั้นให้นำผ้ามาวางบนกระดาษแข็ง(กระดาษแข็งนี้ใช้สำหรับรองผ้าเท่านั้น)
การวางผ้าให้เอาด้านในขึ้น
ทาแป้งเปียกที่กระดาษสาญี่ปุ่น
(ปกติกระดาษสาจะมีด้านหนึ่งเรียบ
อีกด้านมีผิวสัมผัส
ให้ทาที่ด้านเรียบ
วางกระดาษสาที่ทาแป้งเปียกจนทั่วแล้วบนผ้าใช้แปรงตบเบาๆ
บนกระดาษสา
เพื่อให้กระดาษติดแน่นกับผ้า
ระวังอย่าให้มีฟองอากาศ
ทิ้งไว้ให้แห้ง
แล้วจึงตัดเอาผ้าที่ติดกระดาษสาออกจากกระดาษแข็งมาใช้
การกำหนดตำแหน่งเย็บ
-
กำหนดตำแหน่งบนแม่แบบแล้วนำมาทาบกับเนื้อใน
ใช้คัทเตอร์กรีดไปตามสันของเนื้อในแต่ละชุด
-
กางเนื้อในแต่ละชุดออกแล้วใช้เข้มกดลงเบาๆ
จากด้านนอกเข้ามาด้านใน
เพื่อเป็นไกด์ในการแทงเข็มและสะดวกเวลาเย็บรวมทั้งทำเครื่องหมาย
หัว-ท้ายของเนื้อในและลำดับของชุด
เวลาเย็บ หัว-ท้าย
จะได้ไปทางเดียวกัน
การเข้าเล่มแบบ
GERMAN SHAPED SPINE CASE BINDING
การหุ้มปก
1.
ตัดกระดาษแข็งทำปกและสันสมุด
(ดูรายละเอียดที่ล้อมกรอบ)
2.
ตัดกระดาษเนื้อบาง(อาจใช้กระดาษที่นำมาทำเนื้อในหรือกระดาษที่ไม่ใช้แล้วก็ได้)กว้างประมาณ
2 ½ นิ้ว ยาวกว่าปก
จากนั้นให้นำสันสมุดมาติดบนกระดาษ
โดยกำหนดให้อยุ่กึ่งกลางพอดี
กลับด้านคว่ำลง
แล้วใช้ไม้บรรทัดวัดจากกึ่งกลางสันสมุดออกมาข้างละ
5 ม.ม. ขีดเส้นเอาไว้
-
นำสันสมุดที่ขีดเส้นไว้แล้วมาทากาว
การทากาวให้ทาจากเส้นที่ขีดเอาไว้ออกมาถึงขอบกระดาษ
นำปกสมุด(กระดาษแข็งที่ตัดไว้)
มาติดตามแนวที่ขีดเส้นไว้
เก็บปลายกระดาษให้เรียบร้อย
ทิ้งไว้ให้แห้งสนิท
-
นำผ้าที่เตรียมไว้แล้ว
(ผ้าติดกับกระดาษสาหรือกระดาษสี)
มาหุ้มปก
อาจใช้วิธีหุ้มเฉพาะส่วนที่เป็นสัน
แล้วส่วนที่เหลือเป็นกระดาษสาหรือผ้าสีอื่นก็ได้
หรือจะหุ้มด้วยผ้าผืนเดียวกันทั้งปกก็ได้
การกำหนดขนาดปก
-
ความกว้างของสันปก
เท่ากับความหนาของเนื้อใน
-
ความยาวเนื้อใน
+ 1/8 นิ้ว
-
ความกว้างเท่ากับเนื้อใน
-
Joint
Space
วัดจากกึ่งกลางสันออกมาข้างละ
5 ม.ม.
การกำหนดตำแหน่งเย็บ
-
มักกำหนดที่ตัวเนื้อในเพียงอย่างเดียว
โดยกำหนดตำแหน่งเย็บเป็นเลขคู่
ตั้งแต่ 2, 4,6, 8,
ขึ้นอยู่กับขนาดของเนื้อใน
การเข้าเล่ม
1.
แทงเข็มจากด้านนอกเข้าสู่ด้านใน
ทิ้งปลายด้ายไว้ผูกสัก 3
นิ้ว ร้อยจุดถัดไปเรื่อยๆ
จนสุดปลายอีกด้านหนึ่ง
-
การต่อชุดที่
2
ให้ร้อยด้ายจากด้านนอกขุดที่
2 เข้าด้านใน
ร้อยจุดถัดไปแล้วเกี่ยวด้ายกับชั้นที่อยู่ถัดลงมา
แล้วจึงร้อยกลับเข้าด้านในตำแหน่งถัดไป
(ดูไดอะแกรมประกอบ)เมื่อถึงปลายที่ทิ้งด้ายรอไว้
ให้ผูกด้ายเข้าด้วยกันโดยดึงด้ายให้แน่น
อย่าดึงแรงกระดาษจะขาด
แทงเข็มออกด้านนอกเพื่อต่อชุดต่อไปส่วนปลายที่เหลืออีกด้านตัดด้ายให้สั้น
ใช้เข็มยีเส้นด้ายให้แตกออกเพื่อป้องกันด้ายหลุด
-
ทากาวที่สัน
แล้วเอากระดาษแข็งชิ้นเล็กรองไว้ก่อนวางทับด้วยแผ่นไม้
จากนั้นก็หาของหนักๆ
ทับไว้ การทากาวอย่าทามาก
เพราะกาวจะไหลเลอะเทอะทำให้กระดาษเนื้อในติดกับกระดาษแข็ง
เวลาแห้งจะเอาออกยาก
ทิ้งให้แห้งแล้วเจียนของกระดาษด้านที่เหลือให้เสมอกัน
-
ทากาวที่ใบรองปก(ควรเป็นกระดาษสีเนื้อหนากว่าเนื้อใน)
ด้านที่ติดกับเนื้อใน (ทั้งหน้า-หลังของเล่ม)
ทาเพียงเล็กน้อย
ส่วนด้านที่ติดกับปกให้ทาทั้งหมด
-
ติดใบรองปกกับสมุด
กะให้เหลือขอบเข้ามาพอสวยงาม
รีดให้เรียบสนิท
ไม่มีฟองอากาศ
สอดกระดาษเพื่อซับกาวเอาไว้
ทิ้งไว้ให้แห้งก่อนจะทำปกอีกด้านหนึ่ง
เวลาไล่ฟองอากาศบริเวณรอยต่อสันสมุดควรทำอย่างระวัง
เพราะอาจขาดได้
การเข้าเล่มแบบ
COPTIC BINDING
การหุ้มปก
1.
ตัดกระดาษแข็งสำหรับทำปก(ขนาดดูที่ล้อมกรอบ)
แล้วนำกระดาษที่ทำลวดลายไว้หรือกระดาษสาทาด้วยกาวลาเท็กซ์
ติดงบนปก
เผื่อกระดาษรองปกประมาณ
½ นิ้ว
รีดให้กระดาษติดกันเรียบสนิท
อย่าให้มีฟองอากาศ
2.
เก็บมุมกระดาษให้เรียบร้อย
ระวังอย่าให้ย่น
หรือมีฟองอากาศ
เพราะขอบกระดาษจะไม่สวย
3.
ตัดกระดาษเท่ากับเนื้อใน
2
แผ่นสำหรับทำกระดาษรองปกด้านใน
อาจเป้นกระดาษสาอีกสีหนึ่งที่ไม่เหมือนปกด้านนอก
ซึ่งจะทำให้ปกดูสวยงามขึ้น
เวลาติดควรเว้นให้ห่างจากปกท่ากันทุกด้าน
ทิ้งไว้ให้แห้งสนิทโดยทับไว้ด้วยของหนักๆ
เพื่อว่ากาวจะได้ไม่ตึงผิวเมื่อแห้งปกจะได้ไม่บิดเบี้ยว
ขนาดปก
การกำหนดตำแหน่งเย็บบนปก
ข้อควรระวัง
แม่แบบเราจะยึดขนาดตามเนื้อใน
แต่ตัวปกจะใหญ่กว่าเล็กน้อย
ต้องกะให้พอดีด้วยการวางตำแหน่งตรงกลางไว้ให้ตรงกัน
การกำหนดตำแหน่งเย็บเล่ม
-
มักกำหนดให้เป็นเลขคี่
3, 5, 7, 9 ตามขนาดของเล่ม
โดยจะเว้นจากปลายของสันทั้ง
2 ด้านเข้ามา ½ นิ้ว
ควรทำแม่แบบด้วยกระดาษอื่นก่อนแล้วจึงทาบบนปกและเนื้อใน
การเข้าเล่ม
1.
เมื่อกำหนดตำแห่งเย็บเรียบร้อยแล้ว
เริ่มเย็บจากเนื้อในชุดที่
1 แทงเข็มจากด้านในออกมา (เหลือปลายด้ายไว้สัก
3 นิ้วเผื่อผูก)
-
ร้อยด้ายต่อไปที่ปก
(ด้านนอกเข้ามาด้านใน)
-
สอดเข็มกลับไปเพื่อแทงกลับเข้าเนื้อในที่ตำแหน่งเดิม
ดึงด้ายให้แน่น
ผูกกับปลายด้ายที่ทิ้งไว้ครั้งแรก
-
เย็บในตำแหน่งต่อไปด้วยวิธีเดียวกับครั้งแรกไปจนจบชุดที่
1
-
การต่อชุดที่
2 แทงเข็มที่ชุดที่ 2 (จากด้านนอกเข้าด้านใน)
แล้วแทงเข็มรูถัดไป
แทงเข็มให้ออกมาทางด้านซ้ายเสมอ
เริ่มใช้เข็มโค้ง
สอดเข้มไปในระหว่างชั้นแรกกับชั้นที่
2
ในทิศทางตรงกันข้ามกับการเย็บ
เพื่อให้ยึดติดกัน
กลับเข้าตำแหน่งเดิมแล้วเริ่มแทงในตำแหน่งถัดไป
ส่วนชุดที่
3 , 4,
ก็ต่อด้วยวิธีเดียวกัน
โดยเวลาที่สอดเข็มยึดระหว่างชั้นให้สอดกลับลงชั้นที่เย็บไปแล้ว
เช่น ต่อชุดที่ 3
ก็ให้สอดระหว่างชุดที่ 2
กับชุดที่ 3 ชุดที่ 4
ก็ให้สอดเข็มระหว่างชุดที่
3 กับที่ 4 เป็นต้น
-
การต่อชุดสุดท้ายกับปก
ให้ร้อยด้ายเข้าที่ปก (จากด้านนอกเข้าด้านใน)
สอดเข้าไปในระหว่างชั้นที่
4 กับ 5
ในทิศทางตรงกันข้ามของการเย็บ
ดึงให้ตึงแล้วร้อยเข็มเข้าเนื้อในชุดสุดท้าย
เย็บตำแหน่งถัดไปจนจบแล้วผูกปมให้แน่น
จดไว้จำ
Coptic
Binding = ความยาวของเนื้อใน x (จำนวนชุดเนื้อใน
+ 5 )
German
Shaped spine binding = ความยาวของเนื้อใน x (จำนวนชุดของเนื้อใน
+ 1 )
รูดด้ายผ่าน
Wax แล้วสนเข็ม
ในกรณีชุดของเนื้อในจำนวนมาก
ด้ายที่เย็บจะยาวมาก
การเย็บจะต้องระวังด้ายพันกันยุ่ง
วิธีที่
1. ตัดมุมกระดาษแข็งประมาณ 45
องศา ห่างจากขอบปกเล็กน้อย
ทากาวแล้วพับกระดาษตรงมุมลงไปก่อน
จากนั้นจึงพับกระดาษด้านข้างทั้ง
2 ปิดขอบปก
-
วิธีที่
2
ตัดบริเวณมุมเป็นหยักทำมุม
45 องศา
แล้วพับรอยหยักลงปิดมุม
แล้วจึงพับกระดาษด้านข้างทั้งสองปิดขอบปก
-
เราสามารถใช้สมุดสำเร็จรูปมาทำปกใหม่ได้
ด้วยการเอาปกเดิมและใบรองปกออกแล้วติดใบรองปกและปกใหม่เข้าไป
ซื้อได้ที่ไหน
กระดาษเนื้อใน
กระดาษแข็ง กระดาษสา
สามารถซื้อได้ที่ร้านเครื่องเขียนทั่วไป
หรือที่
แผนกเครื่องเขียนภายในห้างสรรพสินค้า
แป้งมันสำปะหลังและแป้งข้าวเจ้า
สามารถซื้อได้ตามร้านของชำทั่วไป
ผ้า
ซื้อได้ที่ร้านขายผ้าทั่วไป
หรือที่ พาหุรัดและสำเพ็ง
กระดาษสาญี่ปุ่น
หาซื้อได้ที่ร้านเครื่องเขียน
หรือร้าน นานาภัณฑ์
ท่าพระจันทร์
กระดาษมีขนาดประมาณ 5 7/8 x 8 ½
นิ้ว ราคาแผ่นละ 7 บาท (ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้)
ผนึกรูปบนกล่องไม้
[DECOUPAGE]
การผนึกรูปลงบนไม้
เป็นการทำลวดลายให้กับวัสดุที่ต้องการให้เกิดความสวยงามด้วยวิธีง่ายๆ
สะดวก และรวดเร็ว
โดยสิ่งสำคัญของการผนึกรูป
ก็คือ
การคัดเลือกรูปที่สวยงาม
ดูมีคุณค่า
เหมาะกับวัสดุที่จะผนึกลงไป
อุปกรณ์
1.
วานิช สำหรับเคลือบ หรือ
POLYURETHANE VARNISH [ DECOUPAGE FORMULA]
2.
กาว DECOUPAGE AND CRAFT PASTE
หรือใช้กาวติดวอลล์เปเปอร์ก็ได้
-
ลูกกลิ้ง
-
สีอะครีลิก
-
กรรไกร
-
กระดาษทรายน้ำเบอร์
600 และเบอร์ 2000 ขึ้นไป
-
พู่กันแบนเบอร์
8, 10 และ 3 ¼ นิ้ว
พู่กันกลมเบอร์ 4, 2 และ 0/5
-
ผ้าเช็ดฝุ่น
-
กล่องไม้ที่ยังไม่ได้ทำสี
หรือเคลือบเงา
วิธีทำ
1.
เตรียมพื้นผิวของกล่องไม้ที่จะผนึกรูปโดยการขัดด้วยกระดาษทรายเบอร์
600
เช็ดฝุ่นออกด้วยผ้าสะอาด
แล้วทาด้วย วานิช
หนึ่งครั้ง
-
ทา
วานิช
รูปภาพที่คัดเลือกแล้วทั้งสองด้าน
(ทาทีละด้าน)
ในกรณีที่เป็นรูปภาพอยู่บนกระดาษเนื้อหนาให้นำไปซีร็อกซ์บนกระดาษเนื้อบางก่อน(จะซีร็อกซ์เป็นสีขาวดำก็ได้
ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของวัสดุที่จะติดแต่ควรมีความคมชัดสวยงาม)เมื่อทากาวแล้วทิ้งไว้ให้แห้งสนิท
-
ทาสีพื้นกล่องไม้ด้วยสีอะครีลิก
ควรเลือกสีให้ดูกลมกลืนกับรูปภาพที่เลือก
การทาสีรองพื้นควรทาประมาณ
2 ครั้ง
แต่ละครั้งทิ้งไว้ให้แห้งแล้วขัดด้วยกระดาษทรายละเอียดเบอร์
1200 ก่อนทาสีทุกครั้ง
-
ทา
วานิช
อีกครั้งให้ทั่วกล่อง
เพื่อป้องกันไม่ให้กาวหรือน้ำซึมเข้าในสีรองพื้น
-
นำรูปภาพที่ตัดเตรียมไว้มาทาบบนชิ้นไม้เพื่อกำหนดตำแหน่งที่จะติด
ทำเครื่องหมายไว้ให้ชัดเจน
-
ทา
กาว ที่ด้านหลังรูปภาพ
-
ทา
กาว
ชิ้นไม้ตรงตำแหน่งที่ทำเครื่องหมายไว้แล้วนำรูปภาพวางลงไป
-
วางรูปภาพบนชิ้นไม้ที่ทากาว
ใช้นิ้วมือสะอาดค่อยๆรีดบนรูปภาพ
เพื่อไล่ฟองอากาศและกาวส่วนที่เกินออก
โดยใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ
เช็ดกาวส่วนเกิน
เพื่อให้ภาพที่เนียนเรียบ
-
ใช้ลูกกลิ้งกดลงบนส่วนกลางของภาพ
และกลิ้งออกด้านข้างให้ทั่วทิศทาง
เพื่อไล่ฟองอากาศอีกครั้ง
และให้ภาพผนึกกับชิ้นไม้ได้ดียิ่งขึ้น
ทำความสะอาดคราบกาวอีกครั้งแล้วทิ้งผ้าไว้ให้แห้ง
-
เติมแต่งขอบรูปด้วยการเพ้นท์ลวดลายต่างๆลงไป
เพื่อลบรอยต่อระหว่างรูปกับชิ้นไม้ไม่ให้ดูโดดเด่นจนเกินไป
แล้วทิ้งให้แห้งสัก 1 วัน
-
ทา
Varnish Decoupage Formula ประมาณ 10-20 ครั้ง
แต่ละครั้งควรทาห่างกัน 4
ชั่วโมง
-
เมื่อทา
Varnish Decoupage Formula
ครบแล้วให้ขัดด้วยกระดาษทรายเบอร์
2000
ขึ้นไปในบริเวณที่เป็นภาพผนึกขัดให้ส่วนนั่นบางลงจนได้ระดับเดียวกับชิ้นไม้
แล้วจึงทา Varnish Decoupage Formula
อีกประมาณ 1-2 ครั้ง
การขัดด้วยกระดาษทรายควรขัดตามแนวยาวของชิ้นไม้
จดไว้จำ
-
การทากาวบนรูปภาพและบนวัสดุที่จะผนึก
นั้นไม่ควรทากาวให้หนามาก
เพราะเมื่อเวลาติดรูปลงไปแล้วจะต้องมีการไล่ฟองอากาศและกาวส่วนเกินออก
ถ้าทามากไปจะทำให้กาวเลอะเทอะ
-
การติดรูปบนวัสดุต้องไล่ฟองอากาศออกให้หมด
เพื่อให้กระดาษเนียนเรียบกับวัสดุ
-
รูปภาพที่นำมาติดบนนั้นควรเลือกขนาด
สีสัน
ให้เหมาะกับวัสดุที่จะติด
อาทิ
ถ้าเป็นรูปแบบโบราณก็ควรเลือกกล่องหรือเครื่องเรือนที่มีรูปทรงคลาสสิก
ถ้าเป็นรูปสมัยใหม่ที่ดูสนุกสนานก็อาจเลือกวัสดุที่มีรูปทรงง่ายๆและใช้สีสันที่ดูสดใส
เป็นต้น
-
รูปภาพจะต้องเนียนเรียบเป็นเนื้อเดียวกับวัสดุที่ปิด
ดังนั้นรูปภาพที่จะเลือกจะต้องอยู่บนกระดาษที่ค่อนข้างบาง
ถ้าเป็นรูปถ่ายก็ควรนำไปซีร็อกซ์สีก่อนรวมทั้งเมื่อทา
Varnish Decoupage Formula
และทิ้งไว้ให้แห้งแล้วควรขัดเบาๆบริเวณที่ติดรูปด้วยกระดาษทรายเนื้อละเอียดจนบางเป็นเนื้อเดียวกับวัสดุที่ปิด
-
เทคนิคการผนึกภาพนั้นเหมาะกับที่จะผนึกบนวัสดุที่เป็นไม้หรือโลหะก็ได้
แต่การติดบนโลหะจะต้องนำโลหะไปล้างด้วยน้ำยาล้างจานก่อน
น้ำยาล้างจานจะทำให้เกิดแรงตึงผิว
ทำให้พื้นผิวไม่ลื่นมาก
ทำให้ติดกาวได้
แต่ถ้าไม่สนใจว่ากระดาษจะนูนขึ้นมาบนวัสดุก็ให้ใช้สต็กเกอร์ปิดทับเลยก็ได้
โดยขนาดสติกเกอร์ก็ควรใหญ่พอดีกับวัสดุที่ติด
จะได้มองดูเหมือนเคลือบผิวหน้าทั้งหมด
-
เราสามารถทำรูปที่ผนึกให้มีมิติ
( นูนขึ้น )
ได้โดยการเสริมภายในด้วยกระดาษหรือสำลีตามบริเวณที่ต้องการให้มีมิติก็ได้
รวมทั้งสามารถใช้วิธีเทเรซินหรือเคลือบรูปวิทยาศาสตร์
เพื่อให้ดูเหมือนว่ารูปภาพฝังไว้ในกระจก
ซื้อได้ที่ไหน
วานิชสำหรับเคลือบ
หรือ POLYURETHANE VARNISH [ DECOUPAGE FORMUIE ] กาว
DECOUPAGE AND CRAFT PASTE และสีอะครีลิก
หาซื้อได้ที่แผนกเย็บปักถักร้อยในห้างสรรพสินค้า
เช่น ตั้งฮั้วเส็ง เซ็นทรัล
เป็นต้น โดยมีจำหน่ายอยู่
3 ยี่ห้อ ด้วยกัน
เลือกใช้ยี่ห้อใดก็ได้
กาวติดวอลล์เปเปอร์
หาซื้อได้ที่ร้านจำหน่ายอุปกรณ์ช่าง
เช่น โฮมโปร หรือทรูแวลูว์
โมบายล์สไตล์เซเวนตี้ส์
MOBILE
โมบายล์หมายถึงการเคลื่อนไหว
แต่ในเชิงศิลปะนั้น
เราหมายถึงงานศิลปะที่ทำขึ้นโดยวิธีแขวนให้สมดุล
ซึงนั่นก็คือเทคนิคที่สำคัญที่ทำให้งานศิลปะชนิดนี้มีเสน่ห์
อุปกรณ์
-
กระดาษโปสเตอร์บางสีต่างๆ
เลือกสีสดๆ เน้นสีโทนร้อน
-
กระดาษการ์ด
(เทาขาว)
-
กรรไกร
-
กาวชนิดหลอด
-
ลวดเส้นใหญ่
-
ดินสอ
ยางลบ วงเวียน ไม้บรรทัด
วิธีทำ
-
ตัดกระดาษเทาขาวเป็นวงกลม
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6
นิ้ว จำนวน 26 อัน
หรือดัดแปลงเป็นรูปทรงอื่นก็ได้
และตัดกระดาษสีเป็นรูปวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
2 นิ้ว 4 นิ้ว และ 6 นิ้ว
-
นำกระดาษสีต่างๆมาติดบนกระดาษการ์ดเว้นระยะช่องไฟของแต่ละสีให้พอดี
-
เมื่อติดกระดาษสีแล้วให้กลับเอาด้านหลังขึ้นแล้วติดลวด
ความยาวประมาณ 1 ¼ ฟุต
หรือตามความเหมาะสม
ประกบปิดด้วยการะดาษเทาขาวที่ตกแต่งแล้ว
ส่วนปลายลวดข้างหนึ่งให้ตัดเป็นวงเล็กๆเพื่อเก็บปลายให้สวยงาม
สำหรับอันสุดท้ายให้ติดกระดาษที่ปลายทั้งสองด้าน
-
นำกระดาษที่ติดลวดแล้วมาผูกติดกันด้วยด้ายสีดำหรือจะใช้เอนก็ได้
กะตำแหน่งให้ถ่วงน้ำหนักกันพอดีด้วยการเลื่อนจุดผูกหาสมดุล
การผูกให้วางบนพื้นก่อน
แล้วเริ่มผูกตั้งแต่อันที่อยู่บนสุดแล้วไล่ลงจนจบ
โดยผูกเชือกให้พออยู่ได้
เผื่อไว้สำหรับเลื่อนหาจุดสมดุล
โดยกะให้ของน้ำหนักมากอยู่ใกล้จุดผูก
ของน้ำหนักน้อยอยู่ไกลจุดผูก
เสร็จแล้วจึงนำขึ้นแขวนขยับเลื่อนให้ได้สมดุลอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อได้จุดสมดุลแล้วให้ผูกให้แน่น
หยอดกาวทับอีกที
จะได้ไม่เลื่อนไปมาภายหลัง
จดไว้จำ
-
จุดสำคัญของการทำโมบายล์คือการถ่วงน้ำหนักของสิ่งที่แขวนให้เกิดสมดุล
วิธีหาสมดุลอีกวิธีหนึ่งคือ
ให้เอาสิ่งแขวนที่ติดลวดไว้แล้วมาวางบนนิ้วชี้
ขยับหาจุดสมดุล
ทำตำแหน่งไว้แล้วผูกเชือก
ทำอย่างนี้กับสิ่งที่แขวนทุกอันที่จะผูก
จากนั้นก็เอาสิ่งแขวนทั้งหมดมาผูกรวมกันบนพื้น
โดยกะน้ำหนักให้พอๆ
กันแล้วขยับหาสมดุลอีกครั้ง
-
ลวดลายแบบกราฟฟิกง่ายๆ
นั้นเป็นลวดลายที่ทำได้ง่ายและดูไม่น่าเบื่อ
-
นอกจากการใช้กระดาษแล้ว
ยังสามารถใช้วัสดุทุกชนิดที่พอใจ
เช่น กรวด (ที่ถูกน้ำกัดเซาะเป็นรูเป็นร่องรูปทรงต่างๆ)
เปลือกหอย นอต สกรู
ที่หนีบกระดาษ เป็นต้น
เปเปอร์มาเช่
[PAPIER
MACHE]
เทคนิคเทพิมพ์
เปเปอร์มาเช่เป้นเทคนิคการสร้างสรรค์ด้วยงานกระดาษอีกวิธีหน่งที่มีความน่าสนใจ
สามารถทำได้ไม่ยาก
และเป็นการใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้อย่างกระดาษ
อุปกรณ์
-
กระดาษที่ไม่ใช้แล้ว
อาจเป็นกระดาษหนังสือพิมพ์
กระดาษพิมพ์ดีด
กระดาษอาร์ตเนื้อหนา
-
แป้งเปียก
(แป้งข้าวเจ้าผสมน้ำต้มตั้งไฟอ่อนเคี่ยวให้เหนียว)
-
ปูนปลาสเตอร์
สำหรับทำพิมพ์
-
แม่แบบ
อาจใช้วิธีขึ้นรูปด้วยดินเหนียว
หรือวัสดุรูปทรงตามต้องการ
-
กาก
หรือเปลือกมะพร้าว
เลือกเอาแต่ส่วนที่นุ่ม
เพื่อสะดวกในการฉีก
-
สีพลาสติก
สีตามต้องการ
-
วานิช
หรือแล็คเกอร์
อาจใช้ชนิดทา
หรือสเปรย์พ่นก็ได้
มีให้เลือกทั้งชนิดเงาและด้าน
เลือกชนิดที่ต้องการ
วิธีทำ
-
ขึ้นรูปสำหรับทำแม่พิมพ์ด้วยดินเหนียว
หรือจะใช้สิ่งของอะไรก็ได้ตามต้องการมาเป็นแม่แบบ
เช่น จาน ชาม แจกัน
ผลไม้ต่างๆ เป็นต้น
ถ้าเป็นเซรามิกควรทาด้วยจาระบี
หรือวาสลีนให้ลื่น
เวลาถอดแบบจะได้ง่าย
ในที่นี้เราใช้แบบที่เป็นเปเปอร์มาเช่มาทำแบบ
โดยผ่าออกเป็น 2 ส่วน
จากนั้นก็เอาปูนปลาสเตอร์ผสมน้ำในอัตราส่วนโดยประมาณ
คือ ปูนปลาสเตอร์ 1 ก.ก.
ต่อน้ำ 1 ลิตร
ผสมให้เหลวเล็กน้อย
เทลงบนแบบ
เกลี่ยให้ติดทุกซอกมุม(บางแบบที่มีหยักมุมหรือรายละเอียดมากอาจต้องผ่ามากกว่า
2 ส่วน
เพื่อสะดวกในการทำแม่พิมพ์)
-
ฉีกกากมะพร้าวลงไปผสมกับปูนปลาสเตอร์แล้วนำมาพอกเป็นขั้นต่อไป
เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับแบบ
จากนั้นรอให้แห้ง
-
เมื่อแห้งแล้วให้แกะเอาแม่พิมพ์ออก
-
นำแม่พิมพ์ปูนปลาสเตอร์ที่ได้มาติดกระดาษโดยในขั้นแรกและขั้นที่
2
ให้ติกระดาษเนื้อบางก่อน
โดยทาแป้งเปียกทั้งแผ่น (ทาอย่าให้หนา)
ขยำกระดาษเพื่อให้เนื้อกระดาษนิ่มและแนบสนิทไปกับแม่พิมพ์
ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ
ติดบนแม่พิมพ์
โดยหงายด้านที่ทากาวขึ้น
ติดประมาณ 2 ชั้น พอชั้นที่
3 ให้ใช้กระดาษเนื้อหนา
เช่น กระดาษอาร์ต
กระดาษที่พิมพ์โปสเตอร์
แช่น้ำให้หมาด
นำมาทาแป้งเปียกติดลงไปให้เต็มแบบ
-
แกะออกจากแม่พิมพ์เมื่อติดกระดาษเรียบร้อยแล้ว
จากนั้นนำไปตากแดดให้แห้งสนิท
-
นำหุ่นที่แห้งสนิทมาตัดแต่ง
แล้วประกบเป็นรูปร่าง
ใช้กระดาษปิดรอบต่อให้สนิทและไม่มีเหลี่ยมมุม
ในขั้นตอนนี้ให้ใช้กระดาษขาว
หรือกระดาษปรู๊ปที่ไม่มีลวดลายใดๆ
ติดให้ทั่วแล้วทิ้งไว้ให้แห้ง
-
เมื่อแห้งดีแล้วให้นำมาทาสี
วาดลวดลายตามต้องการ
ทิ้งให้แห้งแล้วจึงทา
หรือพ่นแล็คเกอร์
จดไว้จำ
-ใช้วัตถุที่ต้องการ
เช่น จาน ชาม ผักผลไม้ หรือ
ลูกโป่งที่เป่าแล้ว
มาเป็นแบบติดกระดาษได้เลย
โดยไม่ต้องหล่อแม่พิมพ์ปูนปลาสเตอร์
ในขั้นแรกเราใช้กระดาษแช่น้ำบิดให้หมาดติดบนวัสดุสัก
2-3 ชั้น
พอชั้นถัดมาก็ให้ใช้กระดาษทาด้วยแป้งเปียกติด
เมื่อได้ความหนาตามต้องการก็ทิ้งไว้ให้แห้งสนิท
จากนั้นใช้คัทเตอร์กรีดเอาแบบออก
แล้วติดกระดาษปิดบริเวณรอบที่ผ่าเอาแบบออกให้เรียบร้อย
-ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์มาซ้อนกันแล้วม้วนให้เป็นเส้นยาว
หรือปั้นเป็นก้อนให้แน่นแข็ง
มัดด้วยสก๊อตเทป
และใช้ลวดมัดหรือยึดส่วนต่างๆ
เข้าด้วยกัน
ทำเป็นสัตว์ประหลาด(ชิ้นงานที่จะได้ค่อนข้างหนัก)
-ใช้ไม้ไผ่สานเป็นโครง
หรือตัดลวดเป็นโครงตามที่ต้องการแล้วติดกระดาษทับก็ได้
-นำกระดาษมาแช่น้ำ
แล้วนำมาเข้าเครื่องปั่นให้ละเอียด
บิดเอาน้ำออกให้หมาด
ผสมกาวแล้วปั้นเป็นรูปทรงต่างๆ
การ์ดป๊อปอัพ
[POP-UP
CARD]
ป๊อปอัพเป็นงานสร้างสรรค์ด้วยกระดาษที่น่าสนใจ
กล่าวคือทำให้กระดาษแผ่นบางๆ
นั้นเกิดเป็นภาพ 3 มิติ
ที่มีลูกเล่นและสวยงามได้อย่างน่าอัศจรรย์
อุปกรณ์
-
กระดาษโปสเตอร์สีต่างๆ
ชนิดบาง สำหรับใช้ตกแต่ง
-
คัทเตอร์
กรรไกร และแผ่นยางรองตัด
-
กาวชนิดแท่ง
ชนิดหลอด หรือสเปรย์ (เลือกชนิดใดชนิดหนึ่งตามสะดวก)
-
กระดาษการ์ด
หรือโปสเตอร์ชนิดหนา
สำหรับทำการ์ด
-
อุปกรณ์เครื่องเขียน
ได้แก่ ดินสอ ยางลบ
ไม้บรรทัด
-
ปากกา
มาร์คเกอร์ สีเคมี สีอะครีลิก
วิธีทำ
-
พับครึ่งกระดาษโปสเตอร์บางให้สันอยู่ด้านบน
แล้ววาดลวดลายลงบนกระดาษ
กำหนดให้ลายอยู่กึ่งกลางกระดาษ
-
ตัดกระดาษตามลวดลาย
โดยเว้นบางส่วนไม่ต้องตัด(ดูภาพลายเส้นประกอบ)
-
ติดกระดาษสีตกแต่งลวดลายให้ดูสวยงาม
-
นำแบบที่ทำเสร็จแล้วติดบนกระดาษการ์ด
จดไว้จำ
1.
แบบกาง 90 องศา
คือเปิดออกมาทำมุมฉาก
ซึ่งทำได้ง่ายด้วยวิธีการพับและตัด
กระดาษที่ใช้มักเป็นกระดาษที่มีความแข็งปานกลาง
2.
แบบกาง 180 องศา
ซึ่งสามารถเปิดออกเป็นแนวระนาบได้
วิธีการทำส่วนใหญ่ใช้วิธีตัดกระดาษเป็นรูปที่ต้องการแล้วนำมาติดบนการ์ด
หมายเหตุ
การ์ดป๊อปอัพไม่ว่าจะเป็นแบบใด
เมื่อเปิดออกมาแล้วรูปภาพจะต้องเป็น
มิติ คือลอยออกมา
ถ้าเปิดแล้วแบนราบ
ยังไม่เรียกว่า ป๊อปอัพ
|